วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

บทที่ 2

เทคโนโลยีการศึกษายุคสื่ออิเล็กทรอนิกส์


การพัฒนาสื่อเพื่อใช้ในการเรียนการสอนมีพัฒนาการมายาวนาน เนื่องจากสื่อเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะต่างๆ จากผู้สอนไปยังผู้เรียนได้เป็นอย่างดี เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความคิดระหว่างกันและกัน หากสื่อได้รับการออกแบบ พัฒนาอย่างดี ก็จะสามารถสร้างความเข้าใจในประเด็นที่ต้องการนำเสนอได้อย่างถูกต้องด้วย
กระแสสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Society) นับว่าเป็นกระแสที่มาแรงมาก ประเทศส่วนมากในโลกทั้งที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา ต่างก็ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาร่วมพัฒนากิจกรรมต่างๆ ของประเทศ การศึกษานับเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาร่วมผสมผสาน นับตั้งแต่การนำคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นสื่ออุปกรณ์ในการเรียนการสอน การจัดทำหลักสูตรวิชาคอมพิวเตอร์ จนก้าวสู่การใช้คอมพิวเตอร์พัฒนาสื่อช่วยเสริมการเรียนการสอน ที่เรียกว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ CAI – Computer Aided Instruction เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนามาถึงยุคโลกไร้พรมแดน ด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) การเรียนการสอนก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างมาก โดยมีการนำบริการต่างๆ ของอินเทอร์เน็ตมาพัฒนาเป็นสื่อถ่ายทอดวิชาการความรู้สาขาต่างๆ เข้าสู่ระบบ เพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียน

CAI
ประเทศไทยได้มีการนำคอมพิวเตอร์ มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสื่อการเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้เป็นระยะเวลานานพอสมควร โดยอาจจะนับได้ว่าจุดเริ่มต้นตั้งแต่การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็มีการสร้างสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ แทนที่เอกสารหนังสือ เรียกว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI (Computer Aided Instruction) ซึ่งมีซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย ทั้งที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการดอส เช่น โปรแกรมจุฬาซีเอไอ (Chula CAI) พัฒนาโดยแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โปรแกรม ThaiTas ที่ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ รวมถึงซอฟต์แวร์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ เช่น ShowPartner F/X, ToolBook, Macromedia Authorware

WBI
ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และสารสนเทศ (ICT: Information and Communication Technology) อันก่อให้เกิดเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันและกัน และมีการนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ โดยพัฒนา CAI เดิมๆ ที่ทำงานแบบ Stand-alone บนพีซีเดี่ยวๆ ให้เป็นสื่อการเรียนการสอนที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยีเว็บ หรือ WBI (Web-based Instruction) ส่งผลให้การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนได้รับความนิยมอย่างสูง สามารถเผยแพร่ได้รวดเร็ว และกว้างไกลกว่าสื่อ CAI ปกติ ด้วยประเด็นสำคัญ 3 ประการได้แก่
สามารถประหยัดเงินที่ต้องลงทุนในการจัดหาซอฟต์แวร์สร้างสื่อ (Authoring Tools) ไม่จำเป็นต้องซื้อโปรแกรมราคาแพงๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสื่อการเรียนการสอน เพราะสามารถใช้ NotePad ที่มาพร้อมกับ Microsoft Windows ทุกรุ่น หรือ Text Editor ใดๆ ก็ได้ลงคำสั่งภาษา HTML (HyperText Markup Language) สร้างเอกสาร HTML ที่มีลักษณะการถ่ายทอดความรู้ด้านการศึกษาคุณสมบัติของเอกสารเว็บที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงวีดิทัศน์ และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยง (Links) ไปตำแหน่งต่างๆ ได้ตามความต้องการของผู้พัฒนา ในลักษณะ Interactive
บริการต่างๆ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในระบบ 7 x 24 และไม่จำกัดด้วยสถานที่

WBI/WBL/WBT
สื่อการเรียนการสอนที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยีเว็บ มีการเรียกด้วยคำต่างๆ เช่น WBI (Web-based Instruction) หรือ WBL (Web-based Learning) หรือ WBT (Web-based Training) คงมีหลายท่านสงสัยว่าแต่ละคำมีความหมายเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร จากการศึกษาเอกสารต่างๆ และประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่าทั้ง 3 คำคือการเรียนการสอนด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเช่นเดียวกัน โดยมีจุดเด่นที่ชัดเจนคือ การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์จะใช้โปรโตคอล TCP/IP และ HTTP และรูปแบบการเรียนการสอนก็เป็นไปได้ทั้งแบบประสานเวลา (Synchronous: ตัวอย่างการพูดคุยด้วย IRC) และแบบไม่ประสานเวลา (Asynchronous: ตัวอย่างการใช้อีเมล์ในการติดต่อสื่อสาร)
แต่เหตุผลที่มีการใช้คำเรียกแตกต่างกันเนื่องจากรูปแบบการนำไปประยุกต์ใช้ ทั้งนี้จะพบว่าหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบฝึกอบรมพนักงานด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายเว็บ มักจะใช้คำว่า WBT ในขณะที่สถานศึกษาต่างๆ จะใช้คำว่า WBI ส่วน WBL จะหมายถึงสื่อการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิสก์ผ่านเครือข่ายเว็บ ที่ผู้พัฒนาจะเป็นใครก็ได้ ผู้เรียนเป็นใครก็ได้ จึงเน้นไปที่การเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิตนั่นเอง (อย่างไรก็ตามเอกสารเล่มนี้จะใช้คำว่า WBI เป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการจาก CAI นั่นเอง) ทั้งนี้ WBI นับเป็นรูปแบบเริ่มต้นของการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีทั้งรูปแบบง่ายๆ นำเสนอเนื้อหาวิชาการ ความรู้เฉพาะด้าน จนถึงระบบที่มีการสมัครสมาชิก ให้บริการเฉพาะสมาชิก เนื้อหานำเสนอทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือการจำลองสถานการณ์ผ่านระบบเครือข่ายก็ได้


E-Learning
สื่อการเรียนการสอนในรูปแบบ E-Learning สามารถกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก WBI โดยมีจุดเริ่มต้นจากแผนเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของชาติ สหรัฐอเมริกา (The National Educational Technology Plan’1996) ของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการพัฒนารูปแบบการเรียนของนักเรียนให้เข้ากับศตวรรษที่ 21 การพัฒนาระบบการเรียนรู้จึงมีการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาช่วยเสริมอย่างเป็นจริงเป็นจัง ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า E-Learning คือ การนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะบริการด้านเว็บเพจเข้ามาช่วยในการเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้ และการอบรม
E-Learning จึงมีหมายถึง การใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบอินเทอร์เน็ต มาออกแบบและจัดระบบ เพื่อสร้างระบบการเรียนการสอน โดยการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ตรงกับความต้องการของผู้สอนและผู้เรียน เชื่อมโยงระบบเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกคน สามารถประเมิน ติดตามพฤติกรรมผู้เรียนได้เสมือนการเรียนในห้องเรียนจริงโดยสามารถพิจารณาได้จากคุณลักษณะ ดังนี้
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เกี่ยวข้องกับเนื้อหารายวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นอย่างน้อย หรือการศึกษาตามอัธยาศัย
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากทุกที่ทุกเวลาโดยอิสระ
ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละเนื้อหา ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับหรือพร้อมกับผู้เรียนรายอื่น
มีระบบปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน และสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้
มีเครื่องมือที่วัดผลการเรียนได้
มีการออกแบบการเรียนการสอนอย่างมีระบบ
ผู้สอนมีสภาพเป็นผู้ช่วยเหลือผู้เรียน ในการค้นหา การประเมิน การใช้ประโยชน์จากเนื้อหา จากสื่อรูปแบบต่างๆ ที่มีให้บริการ
มีระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System: LMS)
มีระบบบริหารจัดการเนื้อหา/หลักสูตร (Content Management System: CMS)

เทคโนโลยีสมัยใหม่และสื่ออิเล็กทรอนิกน์ต่างๆมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา  ทั้งในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย  มีบทบาทในการยกระดับการศึกษา  เทคโนโลยีสมัยใหม่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทุกๆด้าน  หากมนุษย์ขาดข้อมูลข่าวสารหรือความรู้ที่ทันสมัยไม่มีข้อมูลในการปฏิบัติงานเป็นข้อมูลในการตัดสินใจในการลงมือทำงาน  ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดอันจะส่งผลให้งานที่ปฏิบัติไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรหรืออาจประสบกับความล้มเหลวในงานที่ปฏิบัติได้


การความรู้และการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อี-เลิร์นนิ่งแพร่ขยายเข้าไปถึงการศึกษาในระบบ การพัฒนาบุคลากรในองค์การธุรกิจ รวมถึงการเรียนรู้ส่วนบุคคล แต่สำหรับประเทศไทย การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์นับว่าเป็นเรื่องใหม่มาก และยังไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์มากนัก อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากกระแสโลกาภิวัตน์ การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องเร่งเตรียมความพร้อมของประชาชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อี-เลิร์นนิ่งจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีความเหมาะสมสำหรับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศเพื่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-เลิร์นนิ่ง (e-learning) หมายถึง การเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี (Technology-based learning) ซึ่งครอบคลุมวิธีการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ อาทิ การเรียนรู้บนคอมพิวเตอร์ (computer-based learning) การเรียนรู้บนเว็บ (web-based learning) ห้องเรียนเสมือนจริง (virtual classrooms) และความร่วมมือดิจิทั่ล (digital collaboration) เป็นต้น ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท อาทิ อินเทอร์เน็ต (internet) อินทราเน็ต (intranet) เอ็กซ์ทราเน็ต (extranet) การถ่ายทอดผ่านดาวเทียม (satellite broadcast) แถบบันทึกเสียงและวิดีทัศน์ (audio/video tape) โทรทัศน์ที่สามารถโต้ตอบกันได้ (interactive TV) และซีดีรอม (CD-ROM)


การขยายโอกาสทางการศึกษา
               
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีต้นทุนในการจัดการศึกษาที่ต่ำกว่าการศึกษาในชั้นเรียน ถึงแม้ว่าเงินทุนในช่วงแรกหรือต้นทุนคงที่ (fixed cost) ของการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะค่อนข้างสูง แต่อี-เลิร์นนิ่งจะสามารถตอบสนองต่อผู้เรียนได้มากกว่าการจัดการศึกษาในห้องเรียน โดยที่ผู้จัดการศึกษามีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหน่วยสุดท้าย (marginal cost) เกือบเป็นศูนย์ แม้ว่าจะมีการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียนจำนวนมากขึ้นก็ตาม ทั้งนี้หากเปรียบเทียบต้นทุนทั้งหมด (total cost) การจัดการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการเรียนรู้ในชั้นเรียนถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถเรียนรู้ ได้ทุกที่ ทุกเวลาและทุกคน (anywhere anytime anyone) และไม่ว่าจะทำการศึกษา ณ สถานที่ใด การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะยังคงมีเนื้อหาเหมือนกันและมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน และยังสามารถวัดผลของการเรียนรู้ได้ดีกว่า การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทำให้โอกาสในการศึกษาของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนมีความรู้และทักษะที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ต้องใช้ความรู้และเทคโนโลยีเข้มข้นมากขึ้น


การพัฒนาตามศักยภาพและความสนใจของผู้เรียน

การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้เรียนมีเสรีภาพในการเลือกเนื้อหาสาระของการเรียนรู้ โดยไม่ถูกจำกัดอยู่ภายใต้กรอบของหลักสูตร ผู้เรียนสามารถกำหนดเส้นทางการเรียนรู้ของตนเองได้ (self-pace learning) ตามความสนใจและความถนัดของผู้เรียน การเรียนรู้ไม่จำเป็น ต้องเรียงตามลำดับหรือเป็นโปรแกรมแบบเส้นตรง แต่ผู้เรียนสามารถข้ามขั้นตอนที่ตนเองคิดว่าไม่จำเป็น หรือเรียงลำดับการเรียนรู้ของตนเองได้ตามใจปรารถนา การเรียนรู้ตามศักยภาพและความสนใจของผู้เรียน ทำให้ประชาชนในประเทศเกิดการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความจำเป็นในการแข่งขันในเศรษฐกิจบนฐานความรู้ (knowledge-based economy) ในอนาคต การที่สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งที่รวมความรู้จำนวนมหาศาล ผู้เรียนจึงมีช่องทางและวิธีการเรียนรู้ให้เลือกอย่างหลากหลาย ผู้เรียนสามารถเลือกสื่อการเรียนการสอนได้ตามความถนัดและความสนใจ ทั้งในรูปแบบของตัวอักษร รูปภาพ ภาพสร้างสรรค์จำลอง (animations) สถานการณ์จำลอง (simulations) เสียงและภาพเคลื่อนไหว (audio and video sequences) กลุ่มอภิปราย (peer and expert discussion groups) และการปรึกษาออนไลน์ (online mentoring) ด้วยเหตุนี้ การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 มากกว่าการเรียนรู้โดยการฟัง การบรรยายในห้องเรียน หรือจากการอ่านหนังสือ และทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้นถึงร้อยละ 60 ของการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ทั้งนี้ ประสิทธิภาพและความรวดเร็วของการเรียนรู้มีความสำคัญมากสำหรับการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกในอนาคต เพราะจะทำให้คน องค์การ และประเทศ สามารถปรับตัวและตอบสนองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และ ทำให้เกิดความรวดเร็วในการช่วงชิงความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งทำให้เกิดการพัฒนาทักษะของแรงงานได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การสร้างความสามารถในการหาความรู้ด้วยตนเอง

อี-เลิร์นนิ่งไม่ได้เป็นเพียงการเรียนโดยการรับความรู้หรือเรียนรู้ อะไรเท่านั้น แต่เป็นการเรียน "วิธีการเรียนรู้" หรือเรียนอย่างไร ผู้เรียนในระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะเป็นคนที่มีความสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เนื่องจากอี-เลิร์นนิ่งไม่มีผู้สอนที่คอยป้อนความรู้ให้เหมือนกับการศึกษาในห้องเรียน ดังนั้น ผู้เรียนจึงได้รับการฝึกฝนทักษะในการค้นหาข้อมูล การเรียนรู้วิธีการเข้าถึงแหล่งความรู้ การเลือกวิธีการเรียนรู้ และวิธีการประมวลความรู้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ การที่คนมีความสามารถในการเรียนรู้ จะทำให้เกิดการพัฒนาอาชีพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ซึ่งหากประเทศชาติมีประชาชนที่มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ จะทำให้เกิดผลดีต่อประเทศในแง่ของการสร้างองค์ความรู้ของคนไทย และการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง


การพัฒนาความสามารถในการคิด

การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทางความคิดมากกว่าการฟังการบรรยายในห้องเรียน เนื่องจากเป็นการสื่อสารแบบสองทางและมีรูปแบบของการเรียนรู้ที่หลากหลาย การศึกษาทางไกล (distance learning) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะกระตุ้นและเอื้อให้เกิดการวิพากษ์อย่างมีเหตุผล (critical reasoning) มากกว่าการศึกษาในห้องเรียนแบบเดิม เพราะมีการปฏิสัมพันธ์ทางความคิดระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง นอกจากนี้ การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่านักศึกษาทางไกลระบบออนไลน์ (online students) ได้มีการติดต่อกับผู้เรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียนมากกว่าเรียนรู้ด้วยความสนุกมากกว่า ให้เวลาในการทำงานในชั้นเรียนมากกว่า มีความเข้าใจสื่อการสอนและการปฏิบัติมากกว่าผู้เรียนที่ได้รับการสอนในชั้นเรียนแบบเดิมโดยเฉลี่ยร้อยละ 20 อี-เลิร์นนิ่งทำให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ ผู้เรียนจะมีการปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลและความรู้จำนวนมาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการต่อยอดความรู้ หรือทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ และการสร้างนวัตกรรมอันเป็นปัจจัยในการแข่งขันที่สำคัญมากที่สุดในการแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นช่องทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่รัฐบาลและองค์การต่างๆไม่ควรมองข้าม เนื่องจากประสิทธิภาพในการพัฒนาการเรียนรู้ และความเหมาะสมกับโลกยุคใหม่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอี-เลิร์นนิ่งในประเทศไทยยังมีข้อจำกัดมากไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ความไม่เพียงพอของฮาร์ดแวร์ (hardware) การขาดแคลนซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพและขาดเนื้อหาที่หลากหลาย

สรุป
ตัวผมเองคิดว่า แม้สื่อในรูปแบบใหม่เหล่านี้จะมีประโยชน์ที่จะช่วยเติมเต็มความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในการเรียนรู้ต่อผู้เรียน  แต่ครูผู้สอนก็ยังคงมีความสำคัญในการชี้นำแนะทางที่ถูกต้องเหมาะสมและต้องเลือกสรรสื่อการเรียนรู้ที่จะเกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด


บทที่ 1

เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา
(Information and Communication Technology for Education)


ความเป็นมา
                 ประเทศไทยได้เริ่มใช้ระบบคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2506 เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเป็นเครื่อง IBM 1401 ติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ เพื่อจัดทำสถิติและสัมมโนประชากร ต่อมา พ.ศ. 2527 รัฐบาลได้แต่งตั้ง "คณะกรรมการคอมพิวเตอร์แห่งชาติ" ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติการจัดหาคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการ พ.ศ. 2534 รัฐบาลได้ยุบคณะกรรมการคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เพื่อให้หน่วยราชการต่างๆ มีความคล่องตัวในการจัดหาคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลง และนิยมใช้แพร่หลายขึ้น
       พ.ศ. 2535 มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ จากนั้นคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติได้แต่งตั้งอนุกรรมการด้านต่างๆ 7 ด้านได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศ การวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีสาร-สนเทศ การวางแผนพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานของรัฐ การพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) รัฐบาลได้เห็นความสำคัญของการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสาร และเทคโนโลยีคมนาคม เข้ามาใช้ในการจัด การพัฒนา และเผยแพร่สารสนเทศให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา ภายใต้การประสานงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ การดำเนินการด้านนี้กล่าวโดยสรุปได้ ดังนี้
              1. พ.ศ. 2522 กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศขึ้น ได้นำระบบ Mainframe มาใช้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 และขยายเครือข่าย On-line ไปยังกรมต่างๆ ในสังกัด 14 กรม รวมทั้งการเชื่อมโยงกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ นอกจากนี้ยังได้จัดหาอุปกรณ์ไมโครคอมพิวเตอร์ให้หน่วยงานศึกษาธิการในระดับเขตการศึกษา ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ สำหรับการพัฒนาระบบสารสนเทศมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการบริหารและการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
              2. ศูนย์สารสนเทศทบวงมหาวิทยาลัย มีระบบคอมพิวเตอร์ทั้งระดับ Mainframe และ Mini Computer และไมโครคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศ สำหรับการวางแผนและการบริหารกิจกรรมในทบวงมหาวิทยาลัย
              3. สถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่ มีความก้าวหน้าในการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหารการเรียนการสอน การทะเบียน การวิจัย และประเมินผล รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างสถาบันต่างๆ เช่น เครือข่าย Internet ไทยสาร  CUNET และ  PULINET
              4. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ มีศูนย์สารสนเทศทางการศึกษา รับผิดชอบในการวางแผนและพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายกับหน่วยงานต่างๆ
       ในขณะนี้ได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาแล้วได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศของกระทรวงศึกษาธิการ เครือข่ายสารสนเทศทบวงมหาวิทยาลัย เครือข่ายสารสนเทศสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เครือข่ายสารสนเทศสาธารณะ อันได้แก่ เครือข่ายสื่อสารผ่านดาวเทียมทั้งหลาย และเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษามีกว้างขวางขึ้น
       สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ได้ทดลองดำเนินการโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนเมื่อ พ.ศ. 2538 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงเรียนทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดได้มีและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อที่จะได้ยกระดับการศึกษาของเยาวชนไทย และส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือ การดำเนินงานมีโครงการย่อย 3 โครงการ
              1. โครงการอินเตอร์เน็ตมัธยม โดยเน้นการติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้โรงเรียนสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
              2. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท เน้นการจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เบื้องต้นให้แก่โรงเรียน เพื่อใช้ในการพิมพ์และคำนวณอย่างง่าย ผู้รับผิดชอบโครงการได้แก่ คณะกรรมการโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับกรมสามัญศึกษาและบริษัทที่สนับสนุนโครงการ
              3. โครงการจัดตั้งตู้หนังสือเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการจัดสร้างตู้หนังสือที่รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศที่อ่านได้ทั่วไปเพื่อให้ครูและนักเรียนได้ใช้ศึกษาค้นคว้า
       นอกจากนี้แล้วยังสามารถทำเพื่อการประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรโดยการประชาสัมพันธ์นั้นถือเป็นหน้าตาขององค์กรที่จะสร้างความประทับใจแรกพบของกลุ่มประชาชนเป้าหมาย ในปัจจุบันทุกหน่วยงานล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับงานประชาสัมพันธ์ ได้พยายามหาเทคนิควิธีต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์งานประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพ สื่อประชาสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ตจึงเป็นสื่อสำคัญที่นำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ทางการศึกษา
      การสร้างงานประชาสัมพันธ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือสถาบันผู้ที่ทำหน้าที่ในการนำงานประชาสัมพันธ์สื่อสายตาประชาชน ข่าวสารในการประชาสัมพันธ์ได้แก่เนื้อหาสาระที่จะส่งไปยังกลุ่มเป้าหมาย สื่อในการประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่นำข่าวสารผ่านสื่อหรือช่องทางไปยังกลุ่มเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์นั้นๆ เพื่อให้ได้รับเนื้อหาสาระจากสื่อในการประชาสัมพันธ์ สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญคือการเลือกสื่อในการประชาสัมพันธ์ สื่อในการประชาสัมพันธ์นั้นจะต้องมีความเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างไกล มีความน่าสนใจในตัวของสื่อเอง โดยสื่อที่จำกล่าวถึงนี้คือ การนำสื่ออินเตอร์เน็ตมาใช้ในประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ทางการศึกษา

ความหมาย
เพื่อที่จะให้เข้าใจความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา เราคงจะต้องทำความเข้าใจกับคำต่างๆ ที่ประกอบเป็นคำนี้ อันได้แก่ เทคโนโลยี สาร และสนเทศ
       เทคโนโลยีมีความหมายถึง การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่องานปฏิบัติทั้งหลาย เพื่อให้งานนั้นมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
       สารสนเทศ อ่านว่า สาระ-สน-เทศสาร หรือ สาระ เป็นคำประกอบหน้าคำ แปลว่า สำคัญ สนเทศ หมายถึง คำสั่ง ข่าวสาร ใบบอก
       สารสนเทศ จึงหมายถึงข่าวสารที่สำคัญ เป็นระบบข่าวสารที่กำหนดขึ้น และจัดทำขึ้นภายในองค์การต่างๆ ตามความต้องการของเจ้าของหรือผู้บริหารองค์การนั้นๆ
       สารสนเทศ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Information
       สำหรับคำว่า Information นั้น พจนานุกรมเวบสเตอร์ ให้ความหมายไว้ว่า ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศ เป็นความรู้และข่าวสารที่สำคัญที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งในด้านการได้มาและประโยชน์ในการนำไปใช้ปฏิบัติ จึงได้มีการประมวลความหมายของสารสนเทศไว้ใกล้เคียงกัน ดังนี้
       สารสนเทศ หมายถึงข้อมูลทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพที่ประมวลจัดหมวดหมู่ เปรียบเทียบ และวิเคราะห์แล้วสามารถนำมาใช้ได้ หรือนำมาประกอบการพิจารณาได้สะดวกกว่าและง่ายกว่า
       สารสนเทศ คือข้อมูลที่ได้รับการประมวลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมีทั้งคุณค่าอันแท้จริง หรือที่คาดการณ์ว่าจะมีสำหรับการดำเนินงานหรือการตัดสินใจในปัจจุบันและอนาคต
       สารสนเทศ หมายถึง ข่าวสารที่ได้จากการนำข้อมูลดิบมาคำนวณทางสถิติ   หรือประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งข่าวสารที่ได้ออกมานั้นจะอยู่ในรูปที่สามารถนำมาใช้งานได้ทันที
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่สารสนเทศ ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสาร และเทคโนโลยีคมนาคม
       เทคโนโลยีสารสนเทศ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Information Technology หรือ IT

ความสำคัญ
              ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology หรือ IT) ได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การบริการสังคม สาธารณสุข  สิ่งแวดล้อม รวมทั้งด้านการศึกษา ซึ่งการมีบทบาทสำคัญนี้อาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอทีนั้นเปรียบเหมือนเครื่องจักรที่สามารถรองรับข้อมูลข่าวสารมาทำการประมวลผล และการแสดงผลตามที่ต้องการได้รวดเร็ว โดยอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ช่วยในการจัดการ ได้แก่ โปรแกรมปฏิบัติการ โปรแกรมชุดคำสั่งต่างๆ และที่สำคัญคือ ผู้ที่จะตัดสินใจหรือสั่งการให้ทำงานได้ถูกต้องตามเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ใช้ ผู้บริหาร และผู้ชำนาญการ หรือนักเทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรง
รัฐบาลไทยในปัจจุบันได้ให้ความสำคัญ เล็งเห็นประโยชน์และคุณค่าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยใน พ.ศ. 2535 ได้แต่งตั้ง "คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ" ขึ้น โดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและให้มีรองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐบาลและเอกชน และได้มอบหมายให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ มีหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งในเรื่องการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างบรรยากาศ ให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการดำเนินงานด้านต่างๆ
       การดำเนินการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษานั้น ดำเนินการมาก่อนหน้านี้อีก คือเริ่มดันในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) ซึ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งได้เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งในด้านการเรียนการสอนโดยมีหลักสูตรการศึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และวิชาการที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคม มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการบริหารงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการลงทะเบียนนักศึกษา สำหรับกระทรวงศึกษาธิการนั้น ได้จัดตั้งศูนย์สารสนเทศขึ้นในปี พ.ศ. 2522 ในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
       ทางด้านทบวงมหาวิทยาลัย ได้จัดประชุมระดับภูมิภาคอาเซียน เรื่องการศึกษาและระบบสารสนเทศภายใต้โครงการพัฒนาการศึกษาอาเซียนในเดือนพฤศจิกายน 2523 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาการสารสนเทศทางการศึกษาของประเทศ
       พ.ศ. 2526  ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและปฏิบัติการของระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา (ศ.ส.ษ.) ขึ้น โดยความเห็นชอบของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการพัฒนาระบบสารสนเทศให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีข้อมูลและสารสนเทศที่มีคุณภาพทันสมัย และสอดคล้องกับความต้องการ และเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเก็บรวบรวมข้อมูล และสารสนเทศทางการศึกษาที่จำเป็นต่อการกำหนดนโยบายการวางแผนการศึกษาและการพัฒนาการศึกษาของประเทศ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่กำหนดนิยามที่จำเป็นต้องใช้ในระบบสารสนเทศทางการศึกษา กำหนดมาตรฐานในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำแนกข้อมูลและจัดกระทำข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศ ที่สามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ รวมทั้งการกำหนดขอบข่ายการประสานงานของระบบสารสนเทศทางการศึกษา ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่วิชาการ และการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศทางการศึกษาของประเทศ
       ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งแก่เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการพัฒนาการศึกษาของชาติ ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 มีแผนงานหลักเพื่อพัฒนาการศึกษาอยู่ 9 แผนงานหลัก แผนงานหลักที่ 9 เป็นแผนเรื่องการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการศึกษา ในแผนงานหลักที่ 9 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการศึกษานั้นได้มีแนวคิดว่า สำหรับระบบการศึกษาก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลและสารสนเทศเช่นเดียวกันโดยหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้องได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การจัดเก็บ การให้บริการและแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย การวางแผนพัฒนาการศึกษา การบริหารการศึกษา และการจัดการศึกษาให้เป็นระบบ ที่มีรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการเรียนการสอนทุกระดับการศึกษา
       อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษาของหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นไปอย่างอิสระทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ ประกอบกับขาดความพร้อมทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเชื่อมระบบซอฟแวร์ เป็นต้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ อันได้แก่ ปัญหาการผลิตข้อมูลปฐมภูมิที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่ผู้ต้องการใช้ ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลทุติยภูมิ ปัญหาการประสานงานเครือข่าย รวมทั้งปัญหาการดำเนินงานสารสนเทศ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ส่งผลไปถึงการจัดการศึกษาที่ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงาน
       จากปัญหาข้างต้น จึงจำเป็นจะต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา โดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักการพัฒนาร่วมกันระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถประสานการดำเนินงาน และการนำทรัพยากรมาใช้ในการบริหารการวางแผนการจัดการศึกษา และการฝึกอบรมร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงานกลาง ในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา
1. ICT for Education ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
2. ระบบการศึกษาไทย ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
3. ระบบการศึกษาไทย การ ศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 กระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอก งามของบุคคล และสังคม การถ่ายทอดความรู้ การฝึกฝน การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม สร้างสรรค์ความก้าวหน้า ทางวิชาการ สร้างองค์ความรู้ การเรียนรู้แลปัจจัย เกื้อหนุน เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
4. การศึกษา ขั้น พื้นฐาน การศึกษาไทย การ ศึกษาไทย ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 การศึกษา ตลอดชีวิต การศึกษาก่อน อุดมศึกษา - ในระรบบ - นอกระบบ - ตามอัธยาศัย ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
5. การศึกษา ในระบบ การศึกษาไทย การศึกษา ตลอดชีวิต ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 มาตรา 25 การศึกษา ตาม อัธยาศัย การศึกษา นอกระบบ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
6. การศึกษา ขั้น พื้นฐาน การศึกษาในระบบ การศึกษา ในระบบ ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 มาตรา 16 การศึกษาในระบบมี 2 ระดับ การศึกษา ระดับอุดม ศึกษา การศึกษาซึ่งไม่น้อยกว่า 12 ปีก่อนระดับอุดม แบ่งเป็น 2 ระดับ - ระดับต่ากว่าปริญญา - ระดับปริญญา ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
7. การศึกษาในระบบ การศึกษา ในระบบ ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 มาตรา 17การศึกษาในระบบมี 2 ระดับ การศึกษา ภาคบังคับ 9 ปี ให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้า 7 ปีเข้า เรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จนอายุย่างเข้า 16 ปี เว้นแต่ สอบได้ชั้นปีที่ 9 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
8. การศึกษาในระบบ ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 มาตรา 17การศึกษาในระบบมี 2 ระดับ การจัดการศึกษาปฐมวัย และการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานพัฒนาเด็ก ปฐมวัย ได้แก่ ศูนย์ เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนา เด็กก่อนเกณฑ์ของ สถาบันศาสนา ฯลฯ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน และ โรงเรียนที่สังกัด สถาบันพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่น ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงาน จัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรณ์ชุมชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน ศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และ สถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
9. สถาน ศึกษา การศึกษาในระบบ การศึกษา ในระบบ ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 สถานศึก ษาขั้น พื้นฐน - สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย - โรงเรียน - ศูนย์การเรียน - วิทยาลัย - สถาบัน - มหาวิทยาลัย - หน่วยงานการศึกษาอื่นของรัฐและเอกชน สถานศึกษาที่จัด การศึกษาขั้นพื้นฐาน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
10. การศึกษา นอกระบบ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย การศึกษา ตลอดชีวิต พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 การศึกษา ตาม อัธยาศัย กิจกรรมการศึกษาที่มีกลุ่มเป้ าหมาย ผู้รับบริการและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ชัดเจน มีรูปแบบ หลักสูตร วิธีการจัดและระยเวลา หรือฝึกอบรมที่ยืดหยุ่น หลากหลาย และ ประเมินผลการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานเพื่อรับวุฒิ ทางการศึกษา กิจกรรมการเรียนรู้ใน ชีวิตของบุคคล ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
11. การศึกษา นอกระบบ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย การศึกษา ตลอดชีวิต พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 การศึกษา ตาม อัธยาศัย ภาคีเครือข่าย คือ บุคคล คอรบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และ องค์กรอื่นๆ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
12. การศึกษา นอกระบบ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย การศึกษา ตลอดชีวิต พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 การศึกษา ตาม อัธยาศัย - ความเสมอภาคในการเข้าถึงและ ได้รับการศึกษา - การกระจายอานาจแก่สถานศึกษา และการให้เครือข่ายภาคีมีส่วนร่วม จัดการเรียนรู้ - เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กับความสนใจ - พัฒนาแหล่งการเรียนรู้ที่มีความ หลากหลาย - จัดกรอบหรือแนวทางการเรียนรู้ที่ เป็นคุณประโยชน์ต่อผู้เรียน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
13. การศึกษา นอกระบบ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 การส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษานอกระบบ - ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อ พัฒนาศักยภาพกาลังคนและสังคม ที่ใช้ความรู้ และภูมิปัญญาเป็นฐานในการพัฒนา ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และ คุณภาพชีวิต ทั้งนี้ตามแนวทางการพัฒนา ประเทศ - ภาคีเครือข่ายเกิดแรงจูงใจและมีความพร้อมใน การมีส่วนร่วมเพื่อจัดกิจกรรมการศึกษา ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
14. การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 การศึกษา ตาม อัธยาศัย การส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาตามอัธยาศัย - ผู้เรียนได้รับความรู้และทักษะพื้นฐานในการ แสวงหาความรู้ที่จะเอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต - ผู้เรียนได้เรียนรู้สาระที่สอดคล้องกับความสนใจ และความจาเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตทั้ง ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม - ผู้เรียนสามารถนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ และเทียบโอนผลการเรียนกับการศึกษาในระบบ และการศึกษานอกระบบ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
15. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนา และโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จาเป็นต่อการส่ง วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุ โทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ ประโยชน์สาหรับการศึกษาในระบบ การศึกษา นอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การ ทะนุบารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตาม ความจาเป็น ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
16. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตารา หนังสือทางวิชาการ สื่อ สิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อ การศึกษาอื่น โดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถใน การผลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้ แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ การศึกษา ทั้งนี้โดยเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่าง เป็นธรรม ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
17. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 65 ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้มี ความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
18. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 66 ผู้ เรี ยนมีสิทธิ ได้ รับการพัฒนาขีด ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาใน โอกาสแรกที่ทาได้ เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียง พอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหา ความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
19. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา การ ผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้ง การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่า และเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
20. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 68 ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่า สัมปทาน และผลกาไรที่ได้จากการดาเนินกิจการด้าน สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคม จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กร ประชาชน รวมทั้งให้มีการลดอัตราค่าบริการเป็นพิเศษใน การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อการพัฒนาคนและสังคม หลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อการ ผลิต การวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ให้ เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
21. การโนโลยีเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 69 รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลางทาหน้าที่ พิจารณาเสนอนโยบาย แผน ส่งเสริมและประสาน การวิจัย การพัฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมิน คุณภาพ และประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
22. เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 มาตรา 10 เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย (1) สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาที่จาเป็นสาหรับการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อการจัด การศึกษานอกระบบ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
23. เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 มาตรา 11 เพื่อประโยชน์ในการจัดและพัฒนาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมมือ กับภาคีเครือข่าย เพื่อดาเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้ (1) จัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ เช่น แหล่งการเรียนรู้ ศูนย์ การเรียนชุมชนสื่อและเทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าถึงการ เรียนรู้ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
24. การปฏิวัติการศึกษาไทยใน ปี 2543 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
25. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 รุ่ง แก้วแดง (2543: 79-87) กล่าวว่า การเรียนรู้ตลอดจะ แตกต่างกันตามลาดับพัฒนาการของวัยต่างๆ ตั้งแต่ก่อนเกิดจนถึงตาย ซึ่ง แบ่งออเป็น 5 ระยะ ระยะที่ 1 การเรียนรู้ก่อนเกิด การเรียนรู้ช่วงนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของบุคคลที่เป็นแม่เกี่ยวกับการดูแลรักษาลูกในครรภ์ เนื้อหาความรู้คือ เรื่องอนามัย เรื่องโภชนาการ เรื่องการพัฒนาจิตใจ และการฝึกทักษะของ ลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
26. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 1 การเรียนรู้ก่อน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
27. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 2 การเรียนรู้ช่วยวัย 0-5 ปี ถือได้ว่าเป็นวัยทองของ การเรียนรู้ เพราะวัยนี้สมองจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าเด็กได้รับการ พัฒนา ได้รับการกระตุ้นไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว จะช่วยพัฒนาเซลล์ สมอง เจตคติต่อการเรียนรู้และพื้นฐานของการเรียนรู้ ช่วยให้ทักษะการ เรียนรู้พัฒนาไปได้ตลอดชีวิตและมีประสิทธิภาพ และการปฏิวัติ การศึกษาของวัยนี้ทาได้โดยรัฐจะต้องพัฒนาให้พ่อแม่ ครอบครัว สื่อมวลชน และสถานเลี้ยงดู เป็นศูนย์การเรียนและทาหน้าที่ในบทบาท ครูไปด้วย ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
28. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 2 การเรียนรู้ช่วยวัย 0-5 ปี ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
29. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 แหล่งการเรียนรู้ในวัย 0-5 ปีที่สาคัญที่สุดคือแม่พ่อ และบุคคล ในครอบครัว ในช่วยอายุประมาณเกือบ 3 ขวบ เด็กจะเริ่มเรียนจากสื่อ สมัยใหม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นการเตรียมการศึกษาสาหรับพ่อและแม่เพื่อ จะให้เป็นครู จึงเป็นขั้นตอนที่สาคัญที่สุดการศึกษาต้องผ่านจากแม่ จาก พ่อ จากครอบครัว ส่งไปสู่ตัวเด็ก ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
30. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 3 การเรียนรู้ในช่วยอายุ 6-24 ปี ถือได้ว่าเป็นวัย เรียนในสถานศึกษา โดยเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จน กระทั่วถึงระดับอุดมศึกษา การเรียนในช่วยนี้จะเป็นการเรียนเพื่อให้มี พัฒนาการทุกด้านอย่างสมบูรณ์ ตามหลักของจิตวิทยาพัฒนาการ การศึกษาคือการพัฒนา ศักยภาพของคน คนมีศักยภาพ มีพลัง อยากรู้ และมีความสามารถที่จะ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
31. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 สิ่งที่เราใส่เข้าไปในกระบวนการเรียนทุกเรื่องนั้นจะต้องเป็นการกระตุ้น ต้องเป็นส่งเร้าที่จะได้ให้ผู้เรียนทุกคนนั้นได้ตอบสนอง ได้พัฒนา ได้ฝึกทุกสิ่วนข องประสาทและการเรียนนั้นก็ต้องครบองค์ 4 คือ 1. การพัฒนาทางด้านร่างกาย จะต้องฝึกให้สามารถพัฒนาได้ทั้งกล้ามเนื้อ เล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ 2. การพัฒนาทางด้านสติปัญญา คือ กระตุ้นสมองให้เติบโตฝึกสมองให้คิดอยู่ ตลอดเวลา 3. การพัฒนาทางด้านอารมณ์หรือทางด้านจิตใจ จะต้องฝึกเด็กให้สามารถ เรียนรู้สิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา ให้มีศรัทธาในศาสนา และ ฝึกปฏิบัติการกล่อมเกลาจิตใจ การพัฒนาทางด้านสังคม เรียนรู้ที่จะอยู่ ร่วมกับสังคมได้ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
32. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 3 การเรียนรู้ในช่วยอายุ 6-24 ปี ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
33. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 4 การเรียนรู้ช่วงวัยทางาน (อายุระหว่าง 25-60 ปี ) คนวัย ทางานจะเริ่มเรียนรู้จากสื่อการศึกษาตามอัธยาศัยมากกว่าเรียนรู้จาก สถานศึกษา และจะมีการเรียนรู้จากสถานประกอบการ เรียนจากเพื่อนร่วมงาน เรียนจากสื่อมวลชน เรียนจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เรียนจากสิ่งแวดล้อมและ ธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากวัยนี้จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ทางานหรือสถาน ประกอบการ ฉะนั้น จึงเป็นภาระหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องพัฒนาให้ความรู้ หรือการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่องค์กรได้พัฒนาแล้ว ยัง จะนามาซึ่งผลผลิตที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นด้วย จึงเป็นประโยชน์ต่อองค์กรโดย ส่วนรวม ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
34. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 4 การเรียนรู้ช่วงวัยทางาน (อายุระหว่าง 25-60 ปี) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
35. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 5 การเรียนรู้ในช่วงวัยสูงอายุ (60 ปี ) คนสูงอายุสามารถ เรียนรู้ได้มากมายหลายอย่าง โดยผ่านกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย เช่น กีฬา สาหรับผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพอนามัยให้ตนเอง ดนตรี ศิลปะ หัตถกรรม กิจกรรมอาสาสมัคร การท่องเที่ยวอย่างอนุรักษ์ ฯลฯ คนสูงอายะบางคนยัง ค้นคว้าหาความรู้ทางวิชาการเพื่อแสดงออกในรูปการบรรยายและการเขียน รวมทั้งเป็นกรรมการมูลนิธิ ชมรม สมาคมต่างๆ ซึ่งจะช่วยทาประโยชน์ให้สังคมได้ อีกมาก
36. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 ระยะที่ 5 การเรียนรู้ในช่วงวัยสูงอายุ (60 ปี) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
37. การปฏิบัติการศึกษาไทยในปี 2543 แนวความคิดสองส่วนคือ ความสาคัญของคนกับ ศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิตมาบูรณาการเข้าด้วยกันจะช่วยปฏิวัติแนวความคิดเรื่องการจัดการศึกษาของประเทศ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
38. แผนการศึกษาแห่งชาติ และมาตรฐานการพัฒนา สถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545-2559 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
39. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545-2559 เป้ าหมาย จานวน 2 ข้อ 1.1 มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของการศึกษา อย่างทั่วถึง และทัดเทียมกันทุกเขตพื้นที่การศึกษาที่มีความเชื่อมโยงกันเป็น เครือข่ายอย่างมีระบบ 1.2 ประชาชนทุกคนเห็นความสาคัญและประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีเพื่อ การศึกษา และสามารถที่จะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการเพิ่มพูนความรู้และการ เรียนรอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพและการดาเนินชีวิตอย่าง มีความสุขตามสมควร ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
40. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545-2559 กรอบดาเนินงาน จานวน 4 ข้อ 2.1 ส่งเสริมหน่วยงานทุกระดับและสถานศึกษาทกแห่งใหม่ระบบฐานขอมลที่ เชื่อมโยงและสามารถใช้ประโยชน์รวมกันได้ 2.2 ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเหลื่อมล้า และเพิ่มคุณภาพของการศึกษาอย่าง ทั่วถึงและมีคุณภาพ 2.3 ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ใช้และผู้ผลิตเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาใหม่ จิตสานึก มีจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและผลิตสื่อเพื่อการศึกษา ทีมคุณภาพ 2.4 พัฒนาผู้รับและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาใหม่ความสามารถในการ เรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถเลือกสรรกลั่นกรอง และใช้ขอมลข่าวสารจากสื่อตางๆ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
41. มาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดมาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษา (โรงเรียน) ต้นแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ขึ้น 5 ด้าน รวม 17 มาตรฐาน ดังนี้ ด้านการบริหารจัดการในสถานศึกษา 1.1 มีแผนพัฒนาด้าน ICT ระยะกลาง (3-5 ปี) และแผนพัฒนาด้าน ICT ที่ อยู่ในแผนปฏิบัติการประจาปี มีระบบเครือข่าย Internet/LAN ใน สถานศึกษา 1.2 มีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนตามศักยภาพของ สถานศึกษา 1.3 มีซอฟต์แวร์ที่จาเป็นสาหรับใช้สถานศึกษาที่ถูกตามลิขสิทธิ์ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
42. มาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2.1 มีแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ ICT เป็นเครื่องมือและได้จัดการเรียนรู้ตาม แผนฯ ที่กาหนด 2.2 ครูสามารถใช้ ICT เป็นเครื่องมือในการออกแบบและจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 มีรูปแบบการเรียนรู้ด้วย ICT ที่หลากหลายหรือตามแนวทางที่สถาบันพี่ เลี้ยงกาหนด ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
43. มาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้ ด้านการจัดการเรียนการสอน 3.1 นักเรียนได้เรียนรู้จากการใช้ ICT เป็นเครื่องมือในรูปแบบที่หลากหลาย ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้และได้ทากิจกรรมต่างๆ โดยใช้ ICT ตามความ สนใจของนักเรียน 3.2 นักเรียนมีทักษะการใช้ ICT ในการเรียนรู้ สามารถสร้างสรรค์และ นาเสนอผลงานที่ได้จากการใช้ ICT เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ 3.3 นักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กาหนดและคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนสูงขึ้น ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
44. มาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้ ด้านกระบวนการเรียนรู้ 4.1 มี Web site ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน 4.2 มีการจัดทาระบบ Knowledge Management ในแต่ละกลุ่มสาระการ เรียนรู้ 4.3 มีการจัดรวบรวมสื่อ นวัตกรรมการเรียนการสอนด้วย ICT อย่างเป็น ระบบ/จัดเป็นคลัง/แหล่งเรียนรู้/ศูนย์สื่อ ICT หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E- Library) ฯลฯ ตามศักยภาพของสถานศึกษา ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
45. มาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้ ด้านทรัพยากรการเรียนรู้ 5.1 มีแผนพัฒนาด้าน ICT ระยะกลาง (3-5 ปี) และแผนพัฒนาด้าน ICT ที่อยู่ ในแผนปฏิบัติการประจาปี 5.2 มีการสนับสนุนงบประมาณด้าน ICT เพื่อการเรียนการสอน 5.3 ส่งเสริมให้มีการประสานเครือข่ายจากชุมชน องค์กรภาครัฐและเอกชนให้ เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนด้าน ICT ที่ต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน 5.4 ผู้บริหารโรงเรียนดาเนินการให้มีระบบการกากับ ติดตาม ประเมินผลการ ดาเนินงานและรายงานผลเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง 5.5 เป็นสถานศึกษาตนแบบการใช้ ICT ให้กับโรงเรียนอื่นๆ มาศึกษาดูงาน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
46. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
47. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 วิสัยทัศน์ ICT เป็นพลังขับเคลื่อนสาคัญในการนาพา... คนไทย สู่ความรู้และปัญญา เศรษฐกิจไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน สังคมไทยสู่ความเสมือภาค ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
48. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
49. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 เป้ าหมายหลัก 1. มีโครงสร้างพื้นฐาน ICT ความเร็วสูง (Broadband) ที่กระจายอย่างทั่วถึง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน เสมือนการเข้าถึงบริการ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั่วไป 2. มีทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ ในปริมาณที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนการพัฒนา ประเทศสู่เศรษฐกิจฐานบริการและฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ กล่าวคือ ประชาชนมีความรอบรู้ เข้าถึง สามารถพัฒนาและ ใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้อย่างรู้เท่าทัน เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ การทางานและการดาเนินชีวิตประจาวัน และบุคลากรมีความรู้ ความสามารถต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
50. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 3. เพิ่มบทบาทและความสาคัญของอุตสาหกรรม ICT (โดยเฉพาะในกลุ่ม อุตสาหกรรมสร้างสรรค์) ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ 4. ยกระดับความพร้อมด้าน ICT โดยรวมของประเทศไทยในการประเมิน ระดับระหว่างประเทศ 5. เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น (โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม) 6. ทุกภาคส่วนในสังคมมีความตระหนักถึงความสาคัญของบทบาทของ ICT ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วม ในกระบวนการพัฒนา ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
51. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาทุนมนุษย์ที่มีความสามารถในการพัฒนาและใช้ สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มีวิจารณญาณและรู้เท่าทัน รวมถึงพัฒนาบุคลากร ICT ที่มีความรู้ความสามารถและความ เชี่ยวชาญระดับมาตรฐานสากล มีกาลังคนที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการพัฒนาและใช้ ICT อย่างมีประสิทธิภาพในปริมาณเพียงพอที่จะรองรับการพัฒนาประเทศ ในยุคเศรษฐกิจฐานบริการและฐานความคิดสร้างสรรค์ ทั้งบุคลากร ICT และบุคลากรในทุกสาขาวิชาชีพ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
52. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 เป้ าหมาย 1. เพิ่มคุณภาพและปริมาณของบุคลากรด้าน ICT (ICT Professional) มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและทักษะ ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของ อุตสาหกรรม ICT และการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาค เศรษฐกิจไทย รวมถึงการสร้างนวัตกรรมด้นสินค้าและบริการ ICT สาหรับยุค เศรษฐกิจฐานบริการและฐานความคิดสร้างสรรค์ 2. ผู้ประกอบการและแรงงานทั่วไป (General Workforce) มีความรู้และทักษะ ในการใช้งาน ICT (ICT Literacy) มีความรอบรู้สารสนเทศ (Information Literacy) และรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) และสามารถใช้ ICT เป็น เครื่องมือในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
53. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ตัวชี้วัดการพัฒนา 1. สัดส่วนการจ้างงานบุคลากร ICT (ICT Professional) ต่อการจ้างงาน ทั้งหมด เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ากว่าร้อยละ 3 โดยมีสัดส่วนบุคลากรที่มีทักษะไม่ ต่ากว่าร้อยละ 50 ของบุคลากร ICT ทั้งหมด 2. สัดส่วนการจ้างงานบุคลากรที่มีทักษะและใช้ ICT ในการทางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (ICT Professional และ Intensive ICT user) ต่อการจ้าง งานทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ากว่า ร้อยละ 20 3. มีแผนการพัฒนาบุคลากรและ National ICT Competency Framework เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความรู้และทักษะทางด้าน ICT ให้กับคน กลุ่มต่างๆ อย่างเป็นองค์รวม ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
54. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ยุทธศาสตร์ที่ 6 พัฒนาและประยุกต์ ICT เพื่อลดความเหลื่อมล้าทาง เศรษฐกิจและสังคม โดยสร้างความเสมือภาคของโอกาสใน การเข้าถึงทรัพยากรและบริการสาธารณะสาหรับประชาชนทุก กลุ่ม โดยเฉพาะบริการพื้นฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตอย่างมี สุขภาพวะที่ดี ได้แก่ บริการด้านการศึกษา และสาธารณสุข ประชาชนได้รับการประกันสิทธิในการเข้าถึงประโยชน์จากบริการสื่อสาร โทรคมนาคมและข้อมูลข่าวสาร เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
55. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 เป้ าหมาย 1. สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศและสื่อดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการได้รับบริการทางสังคมที่มีคุณภาพ 2. ประชาชนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Literacy) รอบรู้ เข้าถึงพัฒนาและใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณ (Information Literacy) และรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) สามารถเลือกใช้ ICT เพื่อการเรียนรู้การทานและกาดารงชีวิตประจาวันของแต่ละบุคคลและ เพื่อการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง 3. ประชาชนมีส่วนร่วมในกากาหนดทิศทางของนโยบายและการบริการทาง สังคมผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่างๆ เพื่อขึ้น 4. เพิ่มโอกาสของประชาชนในการทางานและมีรายได้ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
56. กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของประเทศไทย ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ตัวชี้วัดการพัฒนา 1. ประชาชนทั่วไปมีไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก ICT ในชีวิตประจาวัน ภายในปี พ.ศ. 2558 และไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ภายใน ปี พ.ศ. 2563 2. กลุ่มคนด้อยโอกาส สามารถเข้าถึง ICT และนา ICT มาใช้ในประโยชน์การ เรียนรู้ และประยุกต์ใช้กับชีวิตประจาวันเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในปี พ.ศ. 2558 และร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2563 3. ยกระดับการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประชาชน (e-Participation) ใน การจัดลาดับ e-government rankings ขององค์การสหประชาชาติ ให้อยู่ใน กลุ่มที่มีระดับการพัฒนาหลักสูตรร้อยละ 40 (Top 40%) 4. เกิดการจ้างงานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
57. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
58. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 การขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการศึกษาในกรอบอาเซียน ซึ่งปรากฏ ในแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียน (A Blueprint for ASEAN Socio-Cultural Community) ได้กาหนดเป้ าหมายในการดาเนินการเพื่อก้าวสู่ประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียนด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับประเทศในภูมิภาคด้านการศึกษา โดยเฉพาะความร่วมมือด้าน การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยี และทรัยพากรมนุษย์ในอาเซียน การจัดการศึกษาในแผนงานจัดตั้งประชาคม สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
59. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 การจัดการอย่างทั่วถึง 1. เพื่อให้ประชากรอาเซียนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ภายในปี พ.ศ. 2558 2. การปรับปรุงคุณภาพการศึกษา 3. การส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาสาหรับสตรีและเด็กอย่างเท่าเทียม 4. การส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศด้านการศึกษา 5. การแลกเปลี่ยนการเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของนักเรียนในกลุ่มประเทศ อาเซียน เป็นเวลา 1 ภาคเรียน หรือ 1 ปี 6. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในชุมชน โดยผ่านการศึกษาทางไกล การเรียนด้วยระบบ IT
60. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 การส่งเสริมทุนอาเซียนและเครือข่ายการศึกษา 1. การดาเนินการศึกษาเพื่อทบทวนแนวปฏิบัติเกี่ยวกับโครงการทุนการศึกษา ของอาเซียนในปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) 2. การส่งเสริมเครือข่ายการศึกษาในสถาบันการศึกษาทุกระดับ รวมทั้ง เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง ขยายเครือข่ายและให้การ ช่วยเหลือนักเรียน 3. การแลกเปลี่ยนบุคลากรและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคณาจารย์ เช่น การส่งเสริม การวิจัยระหว่างสถานอุดมศึกษา โดยความร่วมมือกับซีมิโอและเครือข่าย มหาวิทยาลัยในอาเซียน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
61. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 การส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างกัน 1. การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยผ่าน ระบบการศึกษาเพื่อสร้างเสริมความสาเร็จและความเข้าใจอันดีในประเทศ สมาชิกที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน 2. การสอนค่านิยมร่วมและมรดกทางวัฒนธรรมอาเซียน ในหลักสูตรของ โรงเรียน รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพและอุปกรณ์การเรียนการสอน 3. การส่งเสริมการเรียนภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียนและส่งเสริมการ แลกเปลี่ยน ภาษา 4. การจัดทาหลักสูตรอาเซียนศึกษาทั้งในระดับประถมศึกษา ระดับ มัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
62. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 การพัฒนาเยาวชนอาเซียน 1. การดาเนินโครงการพัฒนาผู้นาเยาวชนอาเซียนและโครงการที่มีวัตถุประสงค์ คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความเข้าใจอันดี ระหว่างกัน 2. การดาเนินการกีฬามหาวิทยาลัยอาเซียน อาสาสมัครเยาวชนอาเซียน เกม คอมพิวเตอร์ และโอลิมปิกวิชาการอาเซียน เพื่อเสริมปฏิสัมพันธ์และการ เสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างเยาวชนในภูมิภาค 3. การดาเนินโครงการแข่งขันระดับเยาวชนอย่างต่อเนื่อง เช่น ASEAN Youth Day Award และ Ten Accomplished Youth Organizations in ASEAN (TAYO ASEAN) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
63. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 การพัฒนาเยาวชนอาเซียน 4. ดาเนินการจัดตั้งกองทุนเยาวชนอาเซียนเพื่อส่งเสริมการดาเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ ของเยาวชนในอาเซียน 5. จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการพัฒนา เด็กและเยาวชน และสร้างเครือข่ายการพัฒนาเด็กและเยาวชน 6. ศึกษาการจัดทา ASEAN Youth Development Index เพื่อประเมินผลลัพธ์ และประสิทธิผลโครงการเยาวชนภายในภูมิภาค และช่วยเหลือประเทศ สมาชิกในการวางแผนสร้างสรรค์นวัตกรรมของเยาวชนในภูมิภาค ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
64. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 แผนการศึกษาของชาติจะเป็นกลไกขับเคลื่อนการศึกษาอย่างน้อย 3 ด้าน คือ 1.1 ด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เนื่องจากคุณภาพการศึกษาของ ประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องคุณภาพการบริหารจัดการ คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพเทคโนโลยีทางการศึกษา ซึ่งนาไปสู่ความคิดในการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยอาเซียน 1.2 การขยายโอกาสทางการศึกษา ผลจากการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีศึกษา อาเซียนทาให้มีการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนในประชาคมอาเซียนอย่างแท้จริง 1.3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษา ประเทศไทยได้รับการ ยอมรับจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนว่ามีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษา ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ซึ่งจะต้องขยายการมีส่วนร่วม ให้มากขึ้น ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
65. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนด การปฏิรูปการศึกษาของไทยใน ปัจจุบันเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ควรจะต้องพัฒนาในสองประการ ประการที่หนึ่ง พัฒนากระบวนการสอนให้เป็นกระบวนการเรียนรู้ Learning เพื่อให้กรอบการเรียนรู้กว่างมากขึ้น เป็นสมรรถนะพลเมืองอาเซียนที่ มีประสิทธิภาพ สามารถอยู่ร่วมกันได้ นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการ สร้างหลักประกันคุณภาพการเรียนการสอนภาษาอังกฤษทุกระดับชั้น ประการที่สอง พัฒนาเทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อมุ่งนาสู่ กระบวนการเรียนการสอนที่เข้าถึงผู้เรียนโดยตรง ซึ่งมีการพัฒนา 3N ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
66. ทิศทางการศึกษาไทย: สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558 3N 1. Nation Education Network: NedNet เป็นโครงข่ายเทคโนโลยีและ สารสนเทศของกระทรวงศึกษาธิการ 2. National Education Information System: NEIS ศูนย์สารสนเทศเพื่อ การศึกษาแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางรวบรวม จัดเก็บ และเชื่อมโยงสารสนเทศ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการสืบค้น ประมวลผลและเป็นแหล่งอ้างอิงที่สาคัญ ด้านการบริหารจัดการของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง 3. National Learning Center: NLC ศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ เพื่อให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียน รวมถึงการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
67. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน IT เพื่อ การศึกษาของประเทศต่างๆ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
68. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของมาเลเซีย การวิจัยและพัฒนาและสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สารสนเทศ เพื่อ การเป็น "สังคมแห่งความรู้ (Knowledge-based Society)" รัฐบาลเริ่มแผน แม่บท การพัฒนาโดยเริ่มโครงการ"Multimedia Super Corridor: MSC" หรือ "โครงการทางด่วนมัลติมีเดีย" เป้ าหมายสาคัญ คือ การสร้างสภาวะแวดล้อมที่ กระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม พัฒนาอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการก้าวสู่ความสาเร็จของการพัฒนาเทคโนโลยี สารสนเทศ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
69. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของมาเลเซีย สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าการ ผลิต "Smart Schools" มีองค์ประกอบสาคัญ 5 ประการ คือ 1. ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของมาเลเซียในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และจิตสานึก 2. ให้โอกาสกับผู้เรียนในการพัฒนาศักยภาพและความสามารถที่เป็นจุดแข็งของ ตนเองได้อย่างเต็มที่ 3. เพื่อพัฒนากาลังงานที่มีสติปัญญา (Thinking Workforce) ที่มีความคล่องทาง เทคโนโลยี (Technically Literate) 4. การขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนทุกคน 5. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับโรงเรียน ได้แก่ ผู้ปกครอง ชุมชน และภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนกระบวนการศึกษาของชาติ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
70. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสิงคโปร์ จัดทาแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา (Master Plan for IT in Education) ขึ้นเป็นแม่แบบในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาการศึกษา และมีฐานะเป็นยุทธศาสตร์หลัก เพื่อการแข่งขันใน ศตวรรษที่ 21 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
71. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสิงคโปร์ แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา 1. ส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนกับโลกรอบด้านเพื่อ ขยายประโยชน์จาก สิ่งแวดล้อมของการเรียนรู้ 2. เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และความ รับผิดชอบทางสังคม 3. ผลักดันกระบวนการนวัตกรรมทางการศึกษา 4. ส่งเสริมความเป็นเลิศในการบริหารและการจัดการศึกษาเพื่อให้ บรรลุเป้ าหมาย ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
72. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของฮ่องกง นโยบายและ จัดทาแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ด้านการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา (IT for Quality Education Five Year Strategy) ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี 1997 ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
73. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของฮ่องกง "เราจะผลักดันแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนา คุณภาพการศึกษา ซึ่งมีวัตถุประสงค์โดยรวม คือ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศในการปฏิรูปวิธีการสอนและการเรียนรู้ โดยงานหลัก คือ การปฏิรูปครู ให้มีทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่จาเป็น ให้สามารถประยุกต์ใช้ในการสอน และการเรียนรู้ในวิชาต่างๆได้รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้แก่ นักเรียนและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมประจาวัน และมี พัฒนาการในการใช้อย่างสร้างสรรค์" ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
74. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของฮ่องกง วัตถุประสงค์ 1. เร่งเร้าและกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ แนวคิดใหม่ๆ และรูปแบบที่เป็นลักษณะปฏิสัมพันธ์ 2. ให้ผู้เรียนมีโลกทัศน์กว้าง ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างเสริมประสบการณ์ใน การเรียนรู้ และเอื้อให้เกิดจิตวิญญาณของการสร้างสรรค์ 3. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) อย่างอิสระ และปลูกฝังให้ มีน้าใจในการทางานเป็นทีม (Team Spirit) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็น เครื่องมือพัฒนาอุปนิสัยในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และพัฒนาทักษะในการ สื่อสารและการทางานเป็นทีมในกลุ่มผู้เรียน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
75. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของฮ่องกง แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี 1. จัดให้มีการศึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแก่ผู้เรียนและครู พร้อม ทั้งมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรและโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย (Network Infrastructure) 2. จัดทาแบบแผนโครงสร้าง (Structure Blueprint) ที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้สามารถบรรลุ วัตถุประสงค์ 3 ประการข้างต้นได้ ภายใน 5 ปี ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
76. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของฮ่องกง องค์ประกอบหลักของแผนยุทธศาสตร์ฯ 5 ปี 1. ครูที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Teacher Enablement) 2. หลักสูตรและซอฟต์แวร์ (Curriculum & Software) 3. การจัดหาฮาร์ดแวร์ (Hardware Provision) 4. โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย (Network Infrastructure) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
77. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น การจัดทานโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ กรณีศึกษาของประเทศญี่ปุ่น : i-Japan Strategy 2015 ญี่ปุ่นให้ความสาคัญ ในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ในส่วนต่าง ๆ ดังนี้ 1. E-Gov : Electronic Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์) 2. U-Gov : Ubiquitous Government (การบริหารจัดการภาครัฐที่มีอยู่ทุก หนทุกแห่ง) 3. M-Gov : Mobile Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านอุปกรณ์ เคลื่อนที่) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
78. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น 4. M-Gov : Mobile Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านอุปกรณ์ เคลื่อนที่) 5. TV-Gov : TV Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่อโทรทัศน์) 6. Gov.20 : Government 2.0 (การบริหารจัดการภาครัฐโดยใช้เทคโนโลยี Web 2.0 นั่นคือ สามารถสื่อสารโต้ตอบ 2 ทาง) 7. Smart Gov : Smart Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ที่ชาญฉลาด) 8. i-Gov : Innovation + Inclusion Government (การบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อเกิดนวัตกรรมและการผนวกรวมไว้ด้วยกัน) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
79. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น รูปแบบการจัดการองค์กรสมัยใหม่ที่มีการนา ICT มาประยุกต์ใช้เพื่อ ตอบสนองสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ 1. ความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง 2. ความสามารถในการเป็นผู้นา 3. ความร่วมมือและเครือข่ายความร่วมมือ 4. การเตรียมพร้อมเพื่อมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลง 5. การมุ่งไปสู่ผลสัมฤทธิ์ 6. การบริหารจัดการที่ไม่อิงรูปแบบของหน่วยงาน 7. กระจายอานาจจากจุดศูนย์กลาง 8. การขับเคลื่อนโดยรายได้มากกว่างบประมาณ 9. การแข่งขัน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
80. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ผลักดันและสนับสนุนให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารประสบผลสาเร็จ โดยมุ่งให้ความสาคัญกับ สมรรถนะหลัก หรือ Core Competences สาหรับ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง หรือ Chief Information Officer (CIO) ไว้ว่าต้องสามารถมองภาพรวมของงานต่อไปนี้เพื่อ นามาบูรณาการและจัดทายุทธศาสตร์ด้าน ICT ให้สอดคล้องและสนับสนุน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
81. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ในมุมมองของ CFO : Cheif Financial Officer ด้าน 1. Procurement Management (การบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง) 2. System Architecture (สถาปัตยกรรมระบบ) 3. IT Investment (การลงทุนด้าน IT) ในมุมมองของ CTO : Cheif Technology Officer ด้าน 1. Management Strategy (การบริหารกลยุทธ์) 2. Intellectual Property (ทรัพย์สินทางปัญญา) 3. MOT/R&D (วิจัยและพัฒนา) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
82. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ในมุมมองของ CKO : Cheif Knowledge Officer ด้าน 1. Policy (นโยบาย) 2. Decision-making process (กระบวนการตัดสินใจ) 3. Knowledge Management (การบริหารจัดการความรู้) ในมุมมองของ CRO : Cheif Risk Officer ด้าน 1. Project Management (การบริหารจัดการโครงการ) 2. Risk Management (การบริหารจัดการความเสี่ยง) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
83. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อว่า i-Japan Strategy 2015 (2010-2015) -------------------------- Striving to Create a Citizen-Driven, Reassuring & Vibrant Digital Society (I = Innovation + Inclusion) มุ่งไปสู่การสร้างสังคมดิจิตอลแห่งความเชื่อมั่น มีชีวิตชีวา และขับเคลื่อนสังคม เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการผนวกรวม เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
84. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อว่า i-Japan Strategy 2015 (2010-2015) -------------------------- 1. การสร้างสังคมที่เทคโนโลยีดิจิตอลเปรียบเสมือนปัจจัยในการดารงชีวิตที่ แทรกซึมเป็นเนื้อเดียวกับเศรษฐกิจและสังคม 2. การนาเทคโนโลยีดิจิตอลและสารสนเทศไปสนับสนุนการเกิดนวัตกรรม ดิจิตอลและการสร้างมูลค่าใหม่ ๆ ให้กับเศรษฐกิจและสังคม 3. สร้างโครงสร้างที่รองรับการบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ ชาญฉลาด ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
85. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อว่า i-Japan Strategy 2015 (2010-2015) -------------------------- 4. การนาเทคโนโลยีดิจิตอลมารองรับและสนับสนุนการดาเนินงานด้านการ ดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง 5. กระตุ้นการนาเทคโนโลยีดิจิตอลไปใช้ในห้องเรียน 6. นาเทคโนโลยีดิจิตอลมาเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมและ ชุมชนท้องถิ่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติ 7. สนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสะอาด (Green IT และ ITS) ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
86. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อว่า i-Japan Strategy 2015 (2010-2015) -------------------------- 8. สร้างตลาดใหม่ที่เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ และเพิ่มจานวนพนักงานที่ ทางานทางไกลนอกสถานที่ทางาน 9. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
87. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ระยะแรก (2540-2543) รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พัฒนาแผนการพัฒนาไอซีที เพื่อการศึกษาขึ้น ที่มีชื่อว่า Comprehensive Plan for ICT in Education (CPIE) ระยะที่สอง (2544-2547) ได้เริ่มมุ่งเน้นทางด้านของการใช้ ICT ใน หลักสูตรการเรียนการสอน มีการพัฒนาศูนย์การเรียนการสอน และห้องสมุด ทั้งในระดับรัฐ ท้องถิ่น และโรงเรียน ที่สาคัญมีโครงการในลักษณะที่เป็นการ สร้างคลังของหลักการปฏิบัติที่ดี (Best Practices) สาหรับผู้สอนเพื่อการ เผยแพร่และแบ่งปันสารสนเทศร่วมกัน ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
88. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ระยะที่ 3 (2548-ปัจจุบัน) จุดมุ่งเน้นของแผนพัฒนาได้แก่ การ เปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบของการศึกษาในโรงเรียนและอุดมศึกษา เพื่อให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้กาหนดทิศทางการเรียนรู้ของตนเอง รวมถึงการมองไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อันได้แก่ (u-learning (ubiquitous learning) นอกเหนือจาก e-learning ในการจัดการเรียนการสอน แผนการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลง กระบวนทัศน์ของชาติ ทั้งระบบด้วยไอที ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
89. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ในปัจจุบันเกาหลีใต้มีประชากรกว่า 48 ล้านคน ในปี 2554 เกาหลีใต้มี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้านการศึกษา ในทศวรรษที่ผ่านมาเกาหลีใต้ติดอยู่ใน อันดับหนึ่งในห้าของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาก้าวหน้า (OECD: Organization for Economic Co-operation and Development) ในแทบทุก ประเภทของการประเมินและสาขาวิชา สูงกว่าประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา เยอรมันและนอร์เวย์ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
90. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาสมรรถนะต่อเนื่อง และการลด ความเหลื่อมล้าด้านการศึกษา โดยการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เกาหลีใต้ได้ตั้งกองทุนเร่งรัดพัฒนาองค์ประกอบที่เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ เช่น กองทุนไอซีทีเพื่อการศึกษา (Korean Education and Research Information Service: KERIS) ขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการสนับสนุน นวัตกรรมเรียนการสอนโดยการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ และประสบ ความสาเร็จอย่างสูง ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
91. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ จัดงบประมาณดาเนินการในระยะยาว ภารกิจหลัก แบ่งออกเป็น 5 ลักษณะได้แก่ 1. ด้านการวิจัยและพัฒนานโยบาย ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาในโลกอนาคต 2. การสนับสนุนโครงการพัฒนา e-learning แก่โรงเรียนประถมและ มัธยมศึกษา (Digital Textbook Development, Digital Library, E- learning Services) 3. การสนับสนุนโครงการพัฒนา e-learning ในการศึกษาระดับอุดมศึกษา 4. การพัฒนาการบริหารจัดการระบบการศึกษา (e-administration) 5. E-learning Globalization การส่งเสริมการทางานและการแลกเปลี่ยนด้าน ไอซีทีเพื่อการศึกษาในระดับสากล ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
92. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ในปัจจุบันเกาหลีได้กาหนดการสร้างวัฒนธรรมเชิงรุกในการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ ให้กับคนในเกาหลี โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนด้อยโอกาส เกษตรกร 1. แนวคิดพื้นฐานในการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร รัฐบาลเกาหลีจึงให้ความสาคัญกับการ พัฒนาระบบการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร ที่เรียกว่า EduNet หรือ E-Learning ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
93. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ฉันทนา ปาปัดถา @DICT II : KMUTNB
94. นโยบายและยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 2. องค์กร นโยบาย มาตรการ เพื่อสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมเชิงรุก ในการใช้ไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ 1) การพัฒนาเชิงโครงสร้างในการเข้าถึงและใช้งาน


สรุป
ผมคิดว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการศึกษาสามารถใช้ได้ทั้งประถมศึกษาไปถึงระดัมอุดมศึกษา และสามารถไปประยุกต์ใช้กับระบบของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยได้ ถูกนำมาใช้เพื่ออำนวยความ สะดวกในการบริหารด้านการบริหารด้านการศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน

และระบบการจัดตารางสอน นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องมือใน การเพิ่ม

โอกาสทางด้านการศึกษาและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน